PD-1...komsanvpr ขอแชร์มาจาก บ้านมนต์จินดามณี
คำถามยอดฮิต
ทำไมเลี้ยงลูกกุมารแล้วเงียบ!!
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก คุณมหานิยมเต็มตัว เว็บมหานิยม99
(นี่เบาๆนะ ก๊อปพี่เขามา ถ้าพิมพ์เอง ยาวกว่านี้อีก^^)
มาๆเข้าเรื่องกันเลย
พี่เขาบอกว่า....
ถ้าจะพูดถึงเรื่องกุมาร ลูกกรอก หรือรักยมแล้ว ความเข้าใจของคนส่วนใหญ่หรือมือใหม่หัดเลี้ยง ชอบที่จะคิดว่าเลี้ยงกุมารแล้ว จะต้องเห็นต้องสัมผัสได้ แต่ถ้าสัมผัสไม่ได้ก็ดูเหมือนเราไปกราบไหว้เพียงก้อนหินก้อนดินธรรมดาไม่มีอะไรน่าสนใจ น่าเบื่อและสุดท้ายก็เลิกเลี้ยงกันไปในที่สุด การเลิกเลี้ยงสำหรับผู้ที่ดูจะมีความรับผิดชอบหน่อยก็จะเอาไปให้พระที่วัด เอาไปให้คนอื่นเลี้ยงดูต่อ หรือไปทำบุญเพื่อปลดปล่อยดวงจิตดวงวิญญาณของลูก ๆ ให้ไปในภพภูมิที่ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป อีกส่วนหนึ่งของพวกมักง่ายก็จะเอาไปทิ้งแบบไม่เห็นคุณค่า ยัดเยียดให้คนอื่น หรือแม้กระทั่งเอาไปขายต่อทำกำไร !!!
การกระทำใด ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น แม้คนอื่นมองไม่เห็น แต่ลูก ๆ ของเรารับรู้ได้ตลอดเวลาไม่เว้นแม้ตอนที่ทุก ๆ ท่าน มีอะไรกันบนเตียง หรือ แค่คิดอะไรอยู่ในหัว ลูก ๆ ก็รับรู้ได้หมด จึงไม่ต้องพูดถึงการเอาลูกให้คนอื่นแบบมองไม่เห็นคุณค่าของลูกแล้ว หรือเอาลูกไปขายทำกำไร เพราะเรื่องพวกนี้ลูกรับรู้ได้อยู่แล้ว ลองคิดดูนะครับว่า การที่เรารับเด็ก ( เด็กที่เป็นมนุษย์ ) มาเลี้ยงดูคนนึง เราต้องใช้เวลาเลี้ยงเท่าไรเค้าถึงช่วยตัวเองหรือช่วยงานของเราได้ 1 ปี 2 ปี หรือ 5 ปี ไม่ใช่เลยคับ ถ้าต้องการให้เด็กที่เราเอามาเลี้ยงถ้านับตั้งแต่เกิดล่ะก็ เราต้องใช้เวลาเลี้ยงเค้าถึง 10 กว่าปี ถึง 20 ปี กว่าจะโตเข้าขั้นที่จะช่วยงานเราไ้ด้เต็มที่ ลองเอาไปเปียบเทียบกับลูกกุมารดูนะครับว่า ขนาดลูกกุมารเนี้ยบางทีเราได้มาเค้าก็โตแล้ว หรือ อายุมากกว่าเด็กเพิ่งเกิดใหม่ สัก 5-6 ปี แล้วเนี้ย เราควรจะใช้เวลาเลี้ยงดูเค้าไปสักหน่อย ให้เด็ก ๆ รู้จักหน้าที่ ให้เค้ารู้ว่าเค้าควรจะทำอะไร ทำอย่างไร ช่วยงานเรายังไง
ต้องอย่าลืมว่ากุมารเค้าเป็นธาตุขันต์ เป็นวิญญาณ ที่ไม่กินพื้นที่ หมายความว่าเค้าไม่มีเนื้อไม่มีหนังมีกระดูก และอยู่กันคนละมิติกับมนุษย์ แต่อยู่ในมิติที่วิญญาณอยู่ ซึ่งในตัวเราก็มีวิญญาณอยุ่ใช่มั้ยครับ แต่วิญญาณเรายังอยู่ในร่างมนุษย์ เราใช้ลูกตามองสิ่งของ ไม่ได้ใช้จิตมอง จึงเรียกได้ว่าเราอยู่คนละมิติกับลูก ๆ เพราะฉนั้นงานหลักของลูก ๆ กุมารนั้น จึงไม่ใช่การล้างจาน ไม่ใช่การถูบ้าน หรืออื่น ๆ มากมายที่เป็นงานที่เราสามารถมองเห็นได้ แต่ถึงกระนั้น การแสดงออกเพื่อความสบายใจให้คุณพ่อคุณแม่ของลูก ๆ นั้นได้เห็น ก็คือการปรากฏตัว การแสดงอิทธิ์ฤทธ์ ต่าง ๆ ให้เห็นผ่านทางลูกตาของพ่อแม่ จะได้มีความสุข และมีความสบายใจ ที่ลูก ๆ ยังอยู่กับเรา หรือลูก ๆ ได้มาอยู่กับเราแล้วจริง ๆ ความเข้าใจในตัวตนของลูกกุมารต่าง ๆ เหล่านี้ผิดถนัด
กุมารหรือลูกกรอกนั้น ไม่จำเป็นจะต้องแสดงอิทธิ์ฤทธ์ หรือ ปรากฏตัวอะไรให้เราเห็นเลย เค้าก็อยู่กับเรา คุณไม่ต้องไปคิดให้ลูกออกมาให้เห็น ไม่ต้องไปบังคับลูก ไม่ต้องไปน้อยใจ ไม่ต้องไปงอนลูก ๆ ว่าทำไมถึงไม่ให้พ่อให้แม่เห็นเลย ไม่มาวิ่งเล่นเลย ไม่มากินน้ำแดงที่พ่อให้เลย เพราะยิ่งคุณคิดมาก กลุ้มมาก ลูกคุณก็ยิ่งกลุ้มมากกว่าคุณเข้าไปอีก และเค้าจะเป็นบาปติดตัว เพราะลูก ๆ ทั้งหลาย เค้ารู้กฏแห่งกรรมในข้อที่ว่า ลูก ๆ ไม่ควรทำให้พ่อแม่เป็นทุกข์ มันเป็นกรรมหนักที่เรา ๆ ท่าน ๆ คิดไม่ถึง ทั้งวันมานั่งคิดแต่ว่าทำไมเราติดต่อลูกไม่ได้น้อ ทำไมลูกไม่อยากเจอเราน้อ ลองเปรียบเทียบกับการเราทำให้พ่อแม่เป็นห่วงหรือกังวลในตัวเราดูนะครับ แล้วคิดดูเอาว่าพ่อแม่เค้าเป็นทุกข์ขนาดใหน ที่จะต้องมานั่งคิดว่าลูกเราอยู่ไหน
ลูกเราทำไมไม่กลับบ้าน ลูกเราหนีเราไปแล้วรึเปล่า การทำสิ่งเหล่านี้มันเป็นการทำให้พ่อแม่เป็นทุกข์ และทำให้ตัวลูกเป็นบาป และบาปหนักด้วย
ทำไมเราถึงมองไม่เห็นลูก การจะมองเห็นวิญญาณนั้นมีหลายปัจจัย ไม่ใช่ว่าเราไปบูชาลูกมาแล้ว อัญเชิญเข้าบ้านแล้ว ทำไมไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย ทำไมไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำไมบ้านตูยังเงียบอยู่เนี้ย ขอให้มีเสียงของเล่นที่ซื้อให้ลูกสักนิดก็ยังดี หนักมากเข้าก็ได้ยินเสียงถุงก๊อบแก๊บก็นึกไปเองว่าลูกมาเล่น ทั้ง ๆ ที่คิดเองเออเองต่อไปว่า เล่นของในบ้านพ่อแล้วทำไมยังไม่ออกมาให้เห็น เอ้อเอาเข้าไป -*- การมองเห็นเด็ก ๆ นั้น วิธีที่ถูกต้องก็คือการทำให้ใจเราสะอาด เพราะการมองเห็นลูกได้นั้นไม่ใช่อาลูกตาไปมอง เราต้องใช้ใจมอง บางคนถามใช้ใจมองยังไง ตามันอยู่ที่หน้า คำถามนี้ผมก็ขอไม่ตอบนะครับ เพราะตอบไม่ได้เหมือนกัน ฮ่า ๆ ๆ แต่จะตอบวิธีการใช้ใจมองต่อแล้วกัน การใช้ใจมอง ปกติมนุษย์เรา จิตใจไม่สะอาดครับ ทำไมถึงพูดแบบนั้น เพราะว่า
1.ทานไม่เคยให้ ไม่เคยระลึกถึงจาคานุสติ หรือการคิดถึงการให้ทาน การเสียสละ
2.ศีล 5 ไม่มี หรือถึงมีก็ไม่ครบ หรือถึงครบก็ด่างพร้อย
3.ไม่เคยภาวนาเลย ไม่เคยมีสติอยู่กับตัวจริง ๆ สักครั้งเลย ไม่เคยนั่งสมาธิเลย ไม่เคยจับลมหายใจเข้าออกเลย
สรุปง่าย ๆ คือ ต้องมี ทาน ศีล ภาวนา ให้ถึงจุดที่เรียกว่าสะอาดพอที่จะเห็นลูก แต่ถ้าเราทำได้ถึงขั้นนั้นแล้ว ไม่ใช่ว่าแค่ลูกกุมารหรอกครับที่เราเป็น ดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลายแหล่ เราก็เห็นไปด้วย
ทีนี้ทำไมบางคนเห็น บางคนสัมผัสได้ ก็เป็นเพราะว่า บางคนมีบุญมีกรรมกับลูก ๆ มามาก มีความสนิทชิดเชื้อกันมาก หรือเรียกง่าย ๆ ว่าใจมันถึงกัน คลื่นมันปรับได้เท่ากัน ก็สื่อสารกันได้เป็นบางครั้งบางคราว หรืออาจจะบ่อย ๆ ก็เป็นได้ แล้วแต่คน ไม่ใช่เป็นทุกคน หรือบางคนปฏิบัติมาทั้ง ทาน ศีล ภาวนา มาแล้วจึงเห็น แต่บางคนเราก็เห็นว่าเค้าไม่เห็นได้ทำทั้ง ทาน ศีล ภาวนาเลย ทำไมถึงติดต่อได้ เป็นเพราะว่าเค้าทำถึงจุดแล้วตั้งแต่ชาติก่อน !!!
การมองไม่เห็นลูกกุมารหรือลูกกรอกนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าลูก ๆ ไม่ได้อยู่กับเรา แต่การมีตัวตนอยู่ของเค้า เรามองไม่เห็น เด็ก ๆ เค้าก็มีสังคมของเค้า อย่างพวกลูกกุมารนั้นเค้าจะชอบเล่นกันเป็นกลุ่ม หรือเรียกว่าชอบมีเพื่อน ชอบมีของเล่น ไม่ต่างจากเด็กทั่วไป เวลาเราจะใช้ เราต้องเรียกทุกครั้ง บางครั้งเรียกลูกคนนี้ยังมาไม่ถึงลูกอีกคนเรียกไปเล่น ก็วิ่งกลับไปเล่นแล้ว นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำไมลูก ๆ ถึงไม่ค่อยช่วยทำงานของเราเลย
การทำงานของลูกกุมาร อย่างที่บอกไปแล้วว่าเค้ามานั่งล้างจานให้เราไม่ได้ สิ่งที่เค้าทำได้ดีก็คือการเรียกคน การบอกเหตุดี ร้าย แล้วสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง เช่นการเรียกลูกค้า การบอกหวย การบอกล่วงหน้าก่อนออกจากบ้านว่าจะเกิดสิ่งที่ไม่ดี แต่วิธีการบอกของลูก ๆ ไม่ได้หมายความว่าจะต้องบอกด้วยเสียงเสมอไป การบอกหรือการเตือนนั้น อาจจะมาด้วยวิธี การฝันเห็นเลข การเตือนโดยทำให้ไม่มีอารมณ์ออกไปข้างนอก หรือกำลังจะเดินออกจากบ้านก็โดนโน่น โดนนี่หล่นใส่ ขัดแข้งขัดขาล้ม เพื่อไม่ให้ออกจากบ้าน อย่างนี้เป็นต้น แต่เท่าที่เจอกับตัวเอง หรือ เพื่อน ๆ ในกลุ่มเจอกัน ถ้าเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ดี หรือใหญ่ ๆ จริง ๆ แล้ว ลูก ๆ จะมาบอกด้วยเสียง อย่าออกไปนะพ่อ วันนี้อยู่บ้านนะพ่อ อะไรประมาณนี้ หรือเหตุการณ์ที่เราหงุดหงิด โกรธมากว่าใครมาแกล้งเรา ลูก ๆ ก็เรียกได้เลยว่ารีบเข้าไปจัดการคนที่เราไม่ชอบทันที แต่จัดการอย่างไรนั้นก็แล้วแต่ลูก ๆ แต่สาสมแน่นอน ผมยืนยัน
แต่อย่างไรก็ดี ก็ยังมีคนมาบ่นอีกว่า ผมยังไม่เคยเจออะไรเลย ยังไม่เคยสัมผัสอะไรกับลูก ๆ เลย แม้แต่ครั้งเดียว ต้องบอกก่อนเลยว่า การจะได้สัมผัสหรือได้เลี้ยง หรือว่าลูก ๆ จะได้มาอยู่กับเราหรือไม่นั้น มันขึ้นอยู่กับบุญกรรมที่เราได้เคยทำกับเด็กคนนั้นมาด้วย ถ้าเราไม่เคยทำเลย ยังไงเค้าก็ช่วยเราไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น มีพี่ที่ผมรู้จักอยู่คนหนึ่ง เค้าชอบสะสมลูกกุมารและลูกกรอก แต่ตั้งแต่เค้าสะสมมา เค้าก็ไม่เคยที่จะได้รับรู้หรือสัมผัสอะไรเลยกับลูก ๆ หรือเรียกได้ว่าลูกไม่ได้ช่วยเค้าเลย หรือเรียกว่าช่วยไม่ได้จะดีกว่า เพราะถ้าเราไม่เคยมีบุญต่อกันมากับลูก ๆ แ้ล้ว เค้าก็ไม่สามารถจะช่วยเราได้เลยแม้แค่งานง่าย ๆ แค่ครั้งเดียวก็ช่วยไม่ได้ เพราะผมไม่เคยมีบุญต่อกันมา ก็มีคำถามต่อไปอีกว่า ก็ผมทำบุญให้ลูกแล้ว ทำไมลูกไม่เห็นช่วยผมเลย ทำไปก็เยอะแล้วเงินก็เหลือน้อยแล้ว ทำขนาดนี้แล้วทำไมลูกยังไม่เห็นใจผมอีก ก็บอกได้เลยนะครับว่า กฏแห่งกรรมนั้นอธิบายยาก ถึงเราจะให้ลูกแล้วก็จริง แต่ถ้ายังไม่ถึงคิวที่ลูกจะสามารถช่วยเราได้ เพราะบุญที่เราทำมันยังไม่ถึงลูก ลูกก็ไม่สามารถช่วยเราได้ หรือบางคนอาจจะเคยทำไม่ดีกับลูกไว้เมื่อชาติที่แล้ว มาชาตินี้ต้องมาเลี้ยงกันในรูปแบบกุมาร ก็มีเหมือนกัน ดูง่าย ๆ ว่าบางคน เลี้ยงลูกอย่างดี ลูกช่วยไม่ช่วยไม่รู้ เลี้ยงอย่างดีพ่อแม่มีความสุข ไม่จำเป็นต้องมาแสดงอะไรให้ดู ตั้งหน้าตั้งตาเลี้ยงเข้าไป แบบนี้ก็มีเช่นกัน
ทุก ๆ ท่านควรใช้สติคิดบนฐานของความเป็นจริงว่าส่วนใหนถูกส่วนใหนไม่ถูก หรือไม่สะเหตุสมผล อย่างไร แล้วพิจารณาเอาไปใช้กับลูก ๆ ของท่านอย่างมีเมตตา เหมือนกับเราเลี้ยงลูกจริง ๆ ไม่ใช่เลี้ยงลูกจ้าง ไม่ใช่ลูกน้อง ที่เอาของให้ก็แล้ว ไหว้ก็แล้ว ทำไมไม่ยอมให้ตูคืนบ้างวะ !!! ถ้าคิดแบบนั้น อย่าเลี้ยง เพราะมันเป็นการทำร้ายจิตใจของเด็กคนหนึ่งซึ่งเป็นเด็กจริง ๆ เพียงแค่เรามองไม่เห็น
สุดท้ายก็ขอให้บุญบารมีของ พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ทั้งหลายทรงดลบรรดาลให้บุญของข้าพเจ้าที่ได้ทำมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หากแม้ข้าพเจ้าจะได้รับประโยนช์จากบุญกุศลที่ได้ทำมานั้นแล้วมากน้อยเพียงใด ขอให้ลูกกรอกลูกกุมารของข้าพเจ้าทุก ๆ องค์ ทุก ๆ ตน ได้มีส่วนร่วมในบุญกุศลนั้น ๆ ด้วยเถิด สาธุ ( เอาไปใช้กันด้วยนะครับ พูดบ่นไป ลูกได้รับทุกครั้งที่เราให้ )
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก คุณมหานิยมเต็มตัว เว็บมหานิยม99
จะ แชร์ไปให้เพื่อนๆ ที่เลี้ยงกุมารอ่าน ก็ได้บุญดีนะคะ · · ·
หน้าที่เข้าชม | 1,376,019 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 1,080,636 ครั้ง |
เปิดร้าน | 3 ธ.ค. 2557 |
ร้านค้าอัพเดท | 28 ก.ค. 2568 |