ขอแชร์จากเฟส ศิริศักดิ์ สงครามสุข
กตัญญูกตเวทิตา
"นิมิตตัง สาธุรูปานัง กตัญญูกตเวทิตา บุคคลใดมีความกตัญญูรู้คุณอุปการคุณที่ท่านทำแล้ว และตอบสนองคุณท่าน ท่านกล่าวว่า บุคคลนั้นเป็นคนดี"
คนดีในสมัยพระพุทธศาสนาที่มีความกตัญญูรู้คุณนี้ยังมีท่านหนึ่งที่จะกล่าวถึงต่อไป ในสมัยที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เวลานั้นองค์สมเด็จพระภควันต์เมื่อแสดงยมกปาฏิหาริย์เสร็จ ก็เสด็จขึ้นไปสู่ยอดเขาพระสุเมรุ ไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก พอไปถึงแล้ว พระอินทร์ก็ทรงอาราธนาให้ประทับอยู่ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์
เมื่องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถเสด็จประทับแล้ว ปรากฏว่ามีเทวดา ๒ คน เข้ามาเฝ้าองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว คนหนึ่งนามว่า "อินทกเทพบุตร" อีกคนหนึ่งมีนามว่า "อังกุรเทพบุตร" ทั้ง ๒ คนนี้ ขณะที่เทวดายังไม่มาถึง อินทกเทพบุตรนั่งอยุูใกล้พระบาทข้างขวาขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า อังกุรเทพบุตรนั่งอยุ่ใกล้พระบาทข้างซ้ายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นเมื่อเทวดามาครบถ้วนทุกองค์ในดาวดึงส์ ก็ปรากฏว่า อังกุรเทพบุตรไปนั่งอยู่ท้ายปลายบริษัท แสดงว่าเป็นเทวดาที่มีบุญน้อย
ในตอนนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยากประกาศความดีของ อินทกเทพบุตร จึงได้ถามอินทกเทพบุตรว่า
"อินทกะ ในสมัยเมื่อเป็นมนุษย์ เธอบำเพ็ญกุศลอะไรไว้ เทวดาที่มีมเหสักขาใหญ่ เทวดามาสักเท่าใดก็ตามเธอก็นั่งอยู่ตรงนี้ไม่ถอยหลังออกไป แสดงว่าเธอเป็นเทวดาที่มีบุญใหญ่มากคนหนึ่งในสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ยกเว้นพระอินทร์แล้ว ไม่มีใครเทียมอานุภาพ ไม่มีบุญวาสนาเท่าเธอ"
อินทกะก็กราบทูลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า "ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า ในสมัยเป็นมนุษย์ข้าพระพุทธเจ้าเป็นลูกคนจน เกิดมาภายหลัง พ่อตายก็เหลือแต่แม่ ฐานะยากจน ก็ตัดฟืนขายเลี้ยงตนไปวันหนึ่งๆ แม่แก่ทำงานไม่ไหว พ่อตายแล้ว เลยตัดฟืนเลี้ยงท่านไปวันหนึ่งๆ เท่านั้น วันหนึ่งพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาเดินไปใกล้บ้าน ได้มีโอกาสถวายสังฆทาน"
เข้าใจว่าพระที่เดินคงจะตั้งแต่ ๔ องค์ขึ้นไปเพราะการถวายสังฆทานนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัทถ้าพระนั่งกันอยู่หรือเดินมาตั้งแต่ ๔ องค์ขึ้นไปจัดเป็นองค์สงฆ์ เป็นคณะสงฆ์ตามพระวินัย เวลานั้นถ้าเราจะถวายอะไรเข้าไป จะกล่าวคำถวายหรือไม่กล่าวก็ตาม ก็เป็นสังฆทานแน่นอนเพราะครบองค์สงฆ์ ของที่ถวายเหล่านั้นเป็นสังฆทานทันที
ถ้าเจ้าภาพเป็นคนจน ถ้านิมนต์พระตั้งแต่ ๔ องค์ขึ้นไปไม่ไหวของมันน้อย นิมนต์พระหรือเณร หรือเด็ก ๑ คน อย่างใดอย่างหนึ่ง ไปรับสังฆทานที่บ้านเพื่อเป็นตัวแทนของสงฆ์อย่างนี้ ไม่ว่าอะไรก็เป็นสังฆทานเพราะว่าหากทายกนำว่านานเกินไป ชาวบ้านรำคาญสังฆทานอานิสงส์ก็หดไป
รวมความว่า ท่านอินทกเทพบุตรท่านอยู่บ้านป่า มีพระเดินผ่านไป ท่านก็นิมนต์เข้าไปฉันในบ้าน อาหารของชาวป่า เป็นการถวายสังฆทานครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต แต่เนื้อแท้จริงๆ ที่เป็นบุญใหญ่ คือ ความกตัญญูรู้คุณ
ท่านตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก เพราะอาศัยบุญเพียง ๒ ประการ คือ
๑. ความกตัญญูรู้คุณบิดามารดา ช่วยพ่อแม่ทำงาน
๒. เพราะถวายสังฆทาน
ก็เกิดเป็นเทวดาที่มีอานุภาพมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทวดาที่เกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ส่วนใหญ่ต้องเป็นคนดีมีความกตัญญูรู้คุณ เพราะเทวราชา พระราชาของเทวดา คือพระอินทร์ท่านเป็นคนดีที่มีความกตัญญูรู้คุณ แล้วก็เป็นคนใจดี เป็นคนอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ ตามพระบาลีกล่าวถึง คุณสมบัติของท่านว่า
"มาตาเปติภรัง ชันตุง กุเล เชฏฐา ปจายินัง" เป็นต้น นั่นก็หมายความว่า คนที่จะไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นพระอินทร์ได้ คือ ต้องเป็นคนที่มีการเลี้ยงดูบิดามารดาให้เป็นสุขด้วยความเคารพ เป็นคนที่มีการอ่อนน้อมคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่า ชอบให้ทาน ระงับความโกรธ พูดไพเราะ เว้นจากการกระหนี่ เว้นจากความโกรธ หรือระงับความโกรธ
รวมความว่า ความกตัญญูรู้คุณนี้ องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงสรรเสริญแน่ ถึงกับทรงกล่าวเป็นพุทธภาษิตว่า "นิมิตตัง สาธุรูปานัง กตัญญูกตเวทิตา"
คำว่า "รู้อุปการะคุณที่ท่านทำแล้ว" ไม่ได้หมายความว่า พ่อแม่อย่างเดียว ใครก็ตามที่เป็นผู้มีคุณเคยสงเคราะห์เราๆ ยอมรับนับถือในความดีของท่าน แล้วตอบสนองคุณท่านด้วยความดี อย่างนี้องค์สมเด็พระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่าบุคคลนั้นเป็นคนดี
พ่อสอนลูก ปกทอง หน้า ๓๑๕-๓๑๗
โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
( ลิขสิทธิ์เป็นของ "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง" ) ·
หน้าที่เข้าชม | 1,374,764 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 1,079,381 ครั้ง |
เปิดร้าน | 3 ธ.ค. 2557 |
ร้านค้าอัพเดท | 28 ก.ค. 2568 |