
ขอแชร์มาจากเฟส ศิริศักดิ์ สงครามสุข กับ Grape Naja ขออนุโมทนาในธรรม มา ณ. ที่นี้ด้วยครับ สาธุครับ ^_^
อุบายของพ่อ สุนันท์ เจียรกูล
ก่อนที่คนเราจะเกิดมาไม่มีผู้ใดแนะนำให้เกิด ความหลงว่าการเกิดเป็นของดีจึงอยากเกิด เมื่อเกิดมาแล้วรู้ว่าการเกิดเป็นความทุกข์มหันต์ จึงไม่ต้องการเกิดอีก ทำให้เกิดการเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนไม่ให้กลับมาเกิดอีก พุทธศาสนิกชนที่ต้องการหลุดพ้นจึงยึดถือ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน เป็นที่พึ่งด้านการปฏิบัติธรรม เพื่อมรรคผลนิพพานในชาติปัจจุบัน
แนวในการสอนของหลวงพ่อมี ๔ แนวทาง คือสุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญและปฏิสัมภิทัปปัตโต สำหรับมโนมยิทธิเป็นแนวการสอนที่ผู้ปฏิบัติประสบความสำเร็จสูงทั้งในประเทศไทย แม้ชาวต่างประเทศก็สามารถปฏิบัติได้ และผู้ปฏิบัติจะหมดความสงสัยเรื่องนรก สวรรค์ว่ามีจริง ตายแล้วเกิด พรหม นิพพาน เป็นความจริงไม่ใช่คิดและยึดถือความคิดความเข้าใจของผู้อื่น เพราะได้พิสูจน์แล้วด้วยวิชามโนมยิทธิเป็นสำคัญ
หลวงพ่อจะเตือนย้ำศิษยานุศิษย์ทั้งหลายว่าให้ทุกคนใช้ปัญญา ใคร่ครวญความทุกข์เอง การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ใช่สัญญาความจำจากหนังสือ ปฏิบัติจะต้องมีความวิริยะอุตสาหะในการปฏิบัติตามแนวทางต่างๆ ที่ถูกจริตของตน วิธีใดก็ได้แล้วแต่ความพอใจ ให้ปฏิบัติสบายๆ ไม่เครียด และย่อหย่อนเกินไป พระเดชพระคุณท่านจึงมีอุบายให้ศิษย์ปฏิบัติหลายประการเพื่อให้เกิดมรรคผลนิพพานในชาติปัจจุบัน
ผู้ที่ปฏิบัติได้มากหรือน้อยก็เป็นผลดีต่อตนเองทั้งสิ้น ผู้เขียนจึงขอเสนอแนวทางปฏิบัติของหลวงพ่อที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านที่มีความต้องการมรรคผลนิพพานดังนี้
๑. ให้ทำบุญ ทำทานทุกวัน ตามกำลังทรัพย์ที่มีอยู่ และมีความยินดีที่เห็นผู้อื่นที่ทำบุญ ทำทานทุกเมื่อ โมทนาเมื่อผู้อื่นทำความดี ๒. ไม่ลืมความตาย ความตายจะมาถึงเราทุกขณะจิตไม่ว่าจะเป็นเด็ก หนุ่มสาว คนชรา เมื่อเกิดมาแล้วไม่มีใครไม่ตาย
๓. ยอมรับนับถือพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยความจริงใจ ๔. รักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะตาย ต้องตั้งจิตอธิษฐานไว้เสมอว่าตายเมื่อไหร่ขอไปนิพพาน ให้หมั่นพิจารณาเนืองๆ ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
๕. ยอมรับกฎของกรรม ๒ ประการ ตลอดชีวิตของคนเราทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรมจะส่งผลเป็นช่วงๆ หรืออาจส่งผลพร้อมกันก็ได้ - กุศลกรรม จะดลบันดาลให้ผู้ปฏิบัติมีความร่ำรวย ทั้งเงินทอง ทรัพย์สิน บุตรหลานอยู่ในโอวาท และเป็นที่เชื่อถือของคนทั่วไป - อกุศลกรรม เป็นเหตุให้เกิดความยากลำบาก เจ็บป่วย ทรัพย์สินสูญหาย หาทรัพย์ได้ยาก บุตรหลานดื้อด้าน ไม่เชื่อฟังและถูกปล้นชิงทรัพย์
๖. เป็นผู้ทรงสมาธิ คือมีความตั้งใจที่จะปฏิบัติตามอนุสสติ ๑๐ ประการ ซึ่งได้แก่ ๑) อานาปานุสสติ นึกถึงลมหายใจเข้าออก เพื่อระงับอารมณ์ฟุ้งซ่านและระงับเวทนา ผู้ปฏิบัติควรทำทุกวันในเวลาว่าง เวลาเจ็บป่วย อานาปานุสสติเป็นกรรมฐานกองใหญ่ที่สุดที่ทุกคนจะต้องทำให้ได้ก่อนที่จะใช้กรรมฐานกองอื่นๆ
๒) จาคานุสสติ นึกถึงบุญและทานที่ทำมาแล้ว ๓) สีลานุสสติ นึกถึงศีลที่เราปฏิบัติอยู่ นึกถึงอานิสงส์ของการรักษาศีล ๔) กายคตานุสสติ นึกถึงร่างกาย ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ร่างกายเป็นเพียงธาตุ ๔ ร่างกายดำรงอยู่ได้เพราะอาหารที่กินเข้าไป เราบังคับร่างกายให้เป็นไปตามใจเราต้องการไม่ได้
๕) มรณานุสสติ นึกถึงความตาย รู้ว่าต้องตาย ความตายจะเกิดเมื่อไหร่ก็ได้ เพื่อไม่ประมาทในความตาย ก่อนนอนให้นึกถึงบารมีของพระพุทธเจ้า ตั้งจิตอธิษฐานว่าถ้าตายคืนนี้ขอไปพระนิพพาน เวลาตื่นนอนให้อธิษฐานขอบารมีของพระองค์เป็นที่พึ่ง ถ้าลูกจะตายในวันนี้ก็ขอไปแดนพระนิพพาน ๖) พุทธานุสสติ นึกถึงความดีของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงสอนให้พุทธศาสนิกชนรู้ทางพ้นทุกข์ ๗) ธัมมานุสสติ นึกถึงธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงสอน
๘) สังฆานุสสติ นึกถึงความดีของพระอริยสงฆ์ที่ถ่ายทอดคำสอนของพระองค์สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน สำหรับผู้เขียนจะนึกถึงความดีของหลวงพ่อที่นำคำสอนที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้ามาสอนศิษย์อย่างไม่ปิดบัง เพื่อให้ลูกศิษย์พ้นทุกข์ ขออธิษฐานว่าหลวงพ่อไปไหนขอตามหลวงพ่อไปที่นั่นด้วย ๙) เทวตานุสสติ นึกถึงความดีของเทวดา ความดีที่ทำให้เกิดเป็นเทวดา คือ หิริ และโอตตัปปะ ๑๐) อุปสมานุสสติ นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ โดยเฉพาะผู้เคยปฏิบัติในวิชามโนมยิทธิจะเข้าใจเพราะสามารถปฏิบัติได้
๗ ตัดกิเลส ให้เป็นสมุจเฉทปหาน เพื่อมรรคผลนิพพานในชาติปัจจุบัน โดยละสังโยชน์ ๑๐ ประการ
สำหรับสังโยชน์ของฆราวาสเบื้องต้นคือ การทรงอารมณ์พระโสดาบัน ได้แก่ การละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส ๑) สักกายทิฏฐิ คือการไม่ต้องการร่างกาย รู้ว่าร่างกายเป็นบ่อเกิดของความทุกข์ ทุกข์มาจากการมีร่างกาย ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เราอาศัยร่างกายนี้ชั่วคราว
๒) วิจิกิจฉา คือการไม่สงสัยในพระคุณของพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ขอยึดไตรสรณาคมณ์เป็นที่พึ่งสูงสุดของชีวิต ๓) สีลัพพตปรามาส คือการรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ ยอมตายไม่ยอมให้ศีลขาดและนึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ ตายชาตินี้ขอไปนิพพาน
สำหรับผู้ครองเรือนทั่วไปควรละทำสังโยชน์ ๓ ให้ได้ เมื่อใกล้ตายบุญกุศลที่ทำไว้จะรวมตัวกันและสามารถตัดสังโยชน์ที่เหลืออีก ๗ ข้อได้และเข้าสู่แดนพระนิพพานได้ดังใจหวัง ทุกคนที่ไปฟังหลวงพ่อๆ จะย้ำให้ทุกคนเห็นความทุกข์ เข้าใจในทุกข์ให้แจ้งชัด ตัดทุกข์เพียงตัวเดียวจะพาท่านไปดินแดนที่เรียกว่าพระนิพพานได้
พระสงฆ์ในพุทธศาสนาจะมีลีลาสอนศิษย์แตกต่างกัน ซึ่งแล้วแต่ความสามารถและความถนัดของแต่ละองค์ สำหรับหลวงพ่อ “พระราชพรหมยาน” ท่านมีเจตจำนงให้ศิษย์พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่าท่านอธิษฐานไว้ว่า
บริวารที่ติดตามท่านมาในชาตินี้จะฟังธรรมะของท่านรู้เรื่อง ถ้าเป็นคนสายเดียวกันทุกอย่างจะไปได้ดี ท่านจะพาไปให้หมดอย่างเลวก็ไปรออยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อพระศรีอาริยะเมตตรัยลงมาตรัสก็ตามท่านลงมาเกิดมาฟังธรรมจากท่าน
พระเดชพระคุณหลวงพ่อเตือนให้ศิษย์ทุกคนพิจารณาร่างกาย เบื่อร่างกาย มองร่างกายให้รู้เรื่องทุกข์ ยอมรับนับถือพระไตรสรณาคมด้วยความจริงใจ ทำสมาธิแบบสบายๆ ใช้พุทธานุสสติกรรมฐานเป็นสำคัญ ทำเช่นนี้ทุกวันทั้งก่อนนอน ตื่นนอน และเวลาที่ว่าง
ข้าพเจ้าขอบารมีของหลวงพ่อเป็นผู้นำทางให้เกิดความสว่างสู่หนทางที่หวังไว้ และขออธิษฐานบารมีในบุญกุศลทั้งหลายที่ได้ปฏิบัติมาแล้ว จงน้อมนำให้ข้าพเจ้าได้เข้าสู่แดนพระนิพพานที่หวังไว้ดังใจปองเอย
ลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๒ จัดพิมพ์โดย..คุณ มาลิดา ปานทวีเดช และคุณทวีทรัพย์ ศรีขวัญ ( ลิขสิทธิ์เป็นของ "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง" )