..ขอแชร์จากเฟสNat Sharknok กับ Nutta Chan และ ณัวุฒิ จันคะนา
หลวงพ่อเล่าเรื่องจริงอิงนิทาน เล่มที่ ๑ ผีเจ้าด้วน...
โดย ฤาษีวัดท่าซุง(ท่านใช้นามปากกาฤาษีลิงดำ)
คำนำ
หลวงพ่อของเรา คือ ฤาษี ลิงดำ วัดจันทาราม (วัดท่าซุง) จังหวัดอุทัยธานี ท่านเป็นศิษย์ หลวงพ่อปาน สุทธาวงศ์ (พระครูวิหารกิจจานุการ) วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
หลวงพ่อมีประสพการณ์ในเรื่องอัศจรรย์ต่างๆ เป็นอันมาก ในระยะเวลาที่เรารู้จักท่าน ซึ่งเป็นเวลาประมาณ 5 ปี นับถึงวันเขียนคำนำนี้ ท่านค่อยๆ ทยอยเล่าเรื่องเหล่านั้นให้พวกเราฟังในยามที่ว่างจากการปฏิบัติธรรม เป็นเรื่องสนุกๆ และยากที่จะหาคนผ่านประสบการณ์มามากๆ อย่างท่าน
ผู้เขียนคำนำ ออกจะเป็นคนเห็นแก่ตัวสักหน่อย ไม่อยากให้ลูกหลานต้องลำบากเรื่องการจัดทำหนังสือแจกงานศพของตัวเอง ประกอบกับได้พบมาแล้วว่าเรื่องชนิดนี้ ถ้าจำเอามาเล่าต่อไม่ว่าจะจำแม่นละเอียดละออเพียงใด คนอ่านก็ต้องหาว่าโกหกจนได้ ดังนั้นจึงขอร้องให้หลวงพ่อเล่าเรื่องเหล่านี้ลงเทปไว้แล้วมาถอดเป็นตัวหนังสือ กะว่าเอาไว้พิมพ์แจกงานศพตัวเอง พรรคพวกที่ได้ทราบความคิดนี้พากันชอบอกชอบใจ บอกว่าถ้ามีเรื่องมากจนพิมพ์เป็นเล่มเดียวไม่ไหวก็ให้ลงท้ายไว้ด้วยใจความว่า โปรดอ่านตอนต่อไปในงานศพของคนนั้นๆ ทีเดียว
เป็นอันว่าหลวงพ่อรับคำ แล้วอัดเทปมาตามหัวข้อเรื่องที่พวกเราจำได้ และจดให้ท่านไว้ นับได้กว่า 40 เรื่อง แต่อัดมาจริงตอนนี้ แถมพกให้ด้วยเป็น 54 เรื่อง มาทราบเอาตอนที่ท่านบ่นมาในเทปว่าไปรังแกท่านเข้า คืออัดเทปเป็นการแสลงโรค เลยต้องกราบขอขมาไว้ ณ ที่นี้
ผู้ที่บวชเป็นพระ ท่านว่าควรมีปฏิปทา 3 อย่าง คือ อธิศีล รักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต อธิจิต ทำสมาธิ อธิปัญญา ทำวิปัสสนา พระส่วนมาก อธิศีลยังไปไม่ไหว ไม่ต้องพูดถึงอธิจิต อธิปัญญา เอาแค่อ่านตำรา ตีความผิดบ้างถูกบ้าง แล้วมักจะคัดค้านว่าผี เทวดา นรก สวรรค์ มีที่ไหนกัน ท่านพูดเปรียบเทียบต่างหาก สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ เท่านั้นเอง อย่างนี้เป็นต้น หมายความว่าผู้ใดทำผิดไว้จิตย่อมเกรงว่าผิดนั้นจะถูกจับได้จึงตกนรกอยู่ตลอดเวลา ซึ่งผู้เขียนคำนำเห็นว่าไม่จริง เป็นการพูดอย่างขอไปที เลยไปเปิดพระไตรปิฎกดู ขึ้นต้นพระวินัยเล่ม 1 หน้า 2 ก็ว่าไว้ชัดเจนว่าพวกทำมิจฉาทิฏฐิต่างๆ ตลอดจนพวกติเตียนพระอริยเจ้า " ต่อเบื้องหน้าแตกกายทำลายไป จึงไปสู่ทุคติวินิบาตนรก " นี่ท่านพูดไว้ชัดว่าตายแล้วจึงไปนรก ส่วนเรื่องการเห็นผี เห็นเทวดา พรหม นรก สวรรค์ นั้น ต้องใช้ทิพยจักขุญาณ ยิ่งล้ำจักษุมนุษย์ธรรมดา จึงจะมองเห็นได้ ซึ่งพวกเราก็ขืนจะเอาตาธรรมดาไปดูให้เห็นอยู่ร่ำไป หลวงพ่อเป็นพระสมบูรณ์แบบ อธิศีล โดยเฉพาะสีลัพพตปรามาสยอมตัวตายดีกว่าศีลขาดนี้ท่านเน้นหนัก เพราะฉะนั้น เราจึงเชื่อได้สนิทว่า เรื่องที่ท่านเล่ามานี้ไม่มุสาแน่ และท่านก็เลือกเล่าแต่เรื่องที่ท่านประสบเองเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนั้น อธิจิต ของท่าน เราก็สรุปได้ว่าท่านรู้วิชาสาม สามารถรู้อดีต รู้จิตใจคนอื่นได้ อธิปัญญา ท่านก็ไล่เราไปนิพพานอยู่ทุกวัน บอกว่าไม่ยาก ความรู้ทางตำราของท่านก็เก่ง เป็นท่านมหา เพราะฉะนั้น ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติท่านมีครบ เรื่องผีสางเทวดา นรก สวรรค์ พรหม นิพพาน มีจริงไปดูมาแล้ว อย่างนี้ท่านกล้าพูดกับพวกเรา จึงเป็นที่สบอารมณ์พวกเรามาก พระอื่นอาจเก่งกว่านี้ แต่ท่านไม่ค่อยจะพูดให้เราฟัง กลัวจะถูกหาว่าอวดอุตริมนุสธรรม หลวงพ่อของเราท่านไม่กลัว เพราะเป็นการพูดเพื่อส่งเสริมกำลังใจ ทำให้เกิดความเชื่อมั่น ปีติให้เกิดในใจบรรดาศิษย์ เมื่อมีความมั่นใจว่านิพพานมีจริง นรก สวรรค์ มีจริง ก็ปฏิบัติทางจิตได้ง่าย กำจัดนิวรณ์ 5 ข้อ 5 คือวิจิกิจฉาไปได้ ถึงตอนนี้ ท่านผู้มีปัญญาก็จะค้าน ว่าผีบางผี เทวดาบางองค์ก็มีคนเห็น โดยไม่ต้องใช้ทิพยจักขุญาณอะไรนั่นเลย มีจริงของท่าน เคล็ดมีอยู่ว่า หากท่านเหล่านี้ประสงค์จะให้เราเห็น เราก็สามารถเห็นได้ด้วยตาธรรมดา บางทีไปด้วยกัน 2 คน ท่านให้เห็นคนเดียว คือคนหนึ่งเห็น อีกคนหนึ่งไม่เห็นก็มี
ในเรื่องที่เล่ามานี้ หลวงพ่อท่านเปรยไว้ว่าใครจะเชื่อก็เชื่อ ถ้าไม่เชื่อก็เชิญตามอัธยาศัย ไม่ได้พูดให้เชื่อ แต่เล่าให้ฟังตามที่พบมา ผู้เขียนคำนำก็ขอเตือนไว้คำเดียวก็แล้วกัน คือ ไม่เชื่อก็เฉยๆ ไว้ดีกว่า ถือว่าฟังนิทาน
ถ้าบังเอิญหนังสือนี้ได้พิมพ์แจกงานศพของผู้เขียนคำนำจริงๆ ก็ขอย้ำอีกว่าขอให้เชื่อเถอะ
พล.อ.ท. ม.ร.ว. เสริม สุขสวัสดิ์
๑๓ มี.ค. ๒๕๑๖
.
.
---------------------------------------------------
หลวงพ่อเล่าเรื่องผี...ตอนที่ 1 (เจ้าด้วน)
"...ต่อ ไปนี้ก็จะเอาเรื่องผีมาคุยให้ฟัง สำหรับเรื่องผีนี้รู้สึกว่าเป็นปัญหาใหญ่ ทั้งนี้ก็เพราะว่าบรรดาคนที่เกิดมาในโลก คนที่เห็นผีก็มี คนที่ไม่เห็นผีก็มี และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคำว่าผีก็จัดว่าเป็นอทิสมานกาย คือว่ามีร่างกายที่ไม่สามารถจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ในเมื่อมีใครเห็นผีแล้วก็มาเล่าสู่กันฟัง แต่ว่าคนบางคนหรือหลายคนไม่เชื่อ เมื่อเขาไม่เชื่อแล้วคนที่เล่าให้ฟังก็ไม่สามารถจะหยิบยกเอามาให้ดูได้ ทั้งนี้ เพราะผีไม่ใช่วัตถุ คำว่าอทิสมานกายในที่นี้ก็หมายความว่า กายที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ถ้าจะเห็นก็ได้ หนึ่ง เมื่อผีแสดงกายให้ปรากฏ คือต้องการจะให้เห็นจึงจะเห็นได้ หรือว่า สอง ในเมื่อบุคคลผู้นั้นสามารถสร้างทิพยจักขุญาณให้ปรากฏจึงจะเห็นได้ ฉะนั้นเรื่องผีนี้จะมีใครเชื่อหรือไม่เชื่อก็เป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้ เหมือนกัน แล้วก็จะไปตั้งกฎตั้งเกณฑ์ให้คนนั้นเชื่อคนนี้เชื่อก็ไม่ได้ เว้นไว้แต่ท่านทั้งหลายที่ได้ประสบมาเอง สำหรับผู้พูดนี้ก็เหมือนกัน ในสมัยก่อนเขาพูดกันถึงเรื่องผีก็สงสัย จะถือว่าไม่เชื่อก็ไม่ได้เพราะเคยกลัวผี ในสมัยที่กลัวผีนั้น ไม่เคยเห็นผีเลยแต่ก็กลัวผี ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเขาลือกันว่าผีนี่นะมีสภาพดุร้ายมีความน่ากลัวอยู่มาก อาการที่แสดงออกต่างๆ รู้สึกว่าน่ากลัวจัด ก็เลยกลัวผี กลัวทั้งๆที่ไม่เคยเห็นผี แล้วในกาลต่อมา ก็กลายเป็นคนเห็นผี เห็นได้ในตอนไหน ความจริงในตอนนั้นไม่เคยเจริญพระกรรมฐาน ไม่เคยได้ทิพยจักขุญาณแต่ก็พบผีผู้เป็นอาจารย์รายแรก ทำให้เชื่อว่าผีมีจริง ผีรายนี้ต้องเชื่อว่าเป็นรายใหญ่ ท่านอาจารย์ใหญ่รายนี้ก็ให้นามว่าเจ้าด้วน คือว่าเป็นผีหัวไม่มี หัวขาด คือคอขาดงงง
...เจ้าด้วนนี้ ประวัติของเขาจะเป็นมายังไงในสมัยที่เป็นมนุษย์ ผู้พูดก็ไม่เคยทราบประวัติเหมือนกัน แล้วก็ไม่ทราบว่าเจ้าด้วนนี้ตายตั้งแต่เมื่อไหร่ มาทราบเอาตอนสมัยที่เป็นรุ่นหนุ่มขึ้นมา อายุ 16 - 17 ตอนนั้นอยู่ที่อำเภอตลิ่งชัน จังหวัดธนบุรี แล้วก็ตอนหนุ่มนี่นะตามธรรมดาของคนที่ชอบเที่ยวซี ไอ้การเที่ยวในการนั้น จะไปไหนใครๆ ก็รู้ เรื่องของคนหนุ่ม แต่ความจริงจะหาว่าเป็นนักเจ้าชู้ไปเที่ยวบ้านสาวๆ นี่มันก็ไม่แน่เหมือนกัน ตามปกติก็ชอบไปเที่ยวบ้านท่านผู้ใหญ่ ก็ไปหาเพื่อนคุยกันแบบสนุกๆ ตามประสาของคนไม่เคยติดเหล้าเมายา เมื่อไปแล้วก็กลับไม่เกินเวลา เวลาที่ท่านยายกับท่านแม่สั่งต้องกลับเวลาเท่าไร ก็ต้องกลับเวลาเท่านั้น ถ้ากลับเกินเวลาก็แสดงว่าวันนั้นถูกฟังเทศน์ จะต้องฟังเทศน์กัณฑ์มหาราช คือบ่นกันเป็นการใหญ่ เกรงว่าท่านแม่ท่านยายจะเหนื่อย หรือว่ารำคาญท่านบ่นก็ไม่ทราบ เลยไม่ยอมกลับผิดเวลา ส่วนใหญ่ก็กลับก่อนเวลาเล็กน้อย ตานี้มาว่ากันถึงว่าคุณด้วน หรือท่านอาจารย์ด้วน อาจารย์ที่สอนให้รู้จักผี ท่านมีสำนักอยู่ที่วัดป่าช้าเรไร สำหรับวัดเรไรนี่ ก็อยู่หน้าสถานีตำรวจตลิ่งชัน ข้างมีคลองบางละมาด
...คืนหนึ่งเดินไปที่สะพาน เดือนหงาย เดือนหงายจัด พอเดินไปถึงสะพานข้ามคลอง ก็พบผู้ชายคนหนึ่งรู้ว่าเป็นผู้ชาย เดินสวนทางมา ในตอนแรกก็ไม่ได้สังเกตว่าหัวไม่มี พอถึงสะพานพอดีก็มาพบกัน มองไปอีกทีก็ปรากฏว่า พ่อเจ้าประคุณไม่มีหัว แกก็ยืนขวางหน้า มายืนขวางหน้าก็มองไปมองมาว่าแกจะมีอาวุธหรือเปล่า แกก็ไม่มีอาวุธ สำหรับผู้พูดนี่มีปืนพก 1 กระบอก กับมีดดาบอีก 1 เล่ม เพราะว่าตำบลนั้นเป็นตำบลนักเลง ถ้าใครไม่มีอาวุธก็ถือว่าเย่อหยิ่ง ดีไม่ดีก็ถูกไล่ตีไล่ฟันเอาเฉยๆ ถ้าถือมีดถือปืนละก็เขาถือว่าคนนั้นขี้ขลาดเขาไม่ทำ เขาว่ายังงั้นนะ ก็เป็นอันว่าเมื่อเห็นแกไม่มีอาวุธก็ถามว่าจะไปไหน แกไม่มีปากนี่ แกก็เลยไม่พูด ทำโคลงตัวไปโคลงตัวมาก็เลยรู้ว่าเจ้าด้วนแน่ เพราะว่าผู้ใหญ่บอกไว้แล้วว่าเจ้าด้วนนี่มันเคยแผลงฤทธิ์บ่อยๆ แต่ว่าอาการแผลงฤทธิ์ของเจ้าด้วนนั้นไม่เคยทำให้ใครกลัว นอกจากว่า 1 รับอาสานำเดินไปในระหว่างป่าช้า ทางนั้นผ่านไปในป่าช้าวัดเรไร เป็นสวนแล้วมีต้นไม้ครึ้ม ยอดไม้เข้าชนกันระหว่างที่เดินเข้าไปตามทางนั้นถ้าไม่มีไฟฉายก็มองไม่เห็น ทาง
...เมื่อทราบว่าเจ้าด้วนแน่แล้วก็เลยบอกว่าพี่ด้วน นี่ ช่วยนำทางทีเถอะนะพี่ชาย นำทางไปส่ง ไอ้ทางนี่มันมืดฉันมองไม่เห็น ช่วยนำทางไปข้างหน้าฉันกลัวผีอื่นมันจะหลอก พี่ด้วนนำทางทีได้ไหม เขาก็ผงกตัวของเขาก้มตัวของเขาน่ะ แสดงว่ายอมรับจะนำทาง แล้วเขาก็หันหลังเดินไปทางวัดเรไร เดินออกหน้าผู้พูดก็เดินตามหลัง พอเข้าถึงสุมทุมพุ่มไม้เวลากลางคืนมันมืดแต่ก็น่าอัศจรรย์ เมื่อเจ้าด้วนนำทางรู้สึกว่าเห็นทางรางๆ คล้ายก็เดือนหงายน้อยๆ แสดงเดือนน้อยๆ นะ พอเห็นกันถนัด เจ้าด้วนก็นำทางไปส่งถึงปลายสวน คือหมดเขตที่มืด ก็หมดเขตของป่าช้า แล้วก็สั่งเขาว่า พี่ด้วน เวลาประมาณสามทุ่มฉันจะกลับมา พี่ด้วนคอยรับด้วยนะ ถ้าพี่ด้วนมารับละก็ เวลาฉันกลับฉันจะซื้อก๋วยเตี๋ยวมาให้ เจ้าด้วนนี่ชอบก๋วยเตี๋ยวผัด หรือข้าวผัด เป็นอันว่าเวลาขากลับก็พบว่าเจ้าด้วนยืนรอรับอยู่แล้ว ก็นำทางมาส่งถึงกลางสะพาน เพราะว่าเดือนหงายเห็นทางถนัด ก็เลยสั่งว่าพี่ด้วนยืนคอยอยู่แถวนี้เถอะนะ ประเดี๋ยวฉันจะไปซื้อก๋วยเตี๋ยวผัดมาให้ เพราะว่าหน้าวัดช่างเหล็กหรือสถานีตำรวจตลิ่งชันมีร้านค้าอาหาร เขาขายอาหารก็ไปซื้อมาแล้วก็ให้นายด้วน
....นี่เป็นอันว่าจะไปเที่ยวผ่านทางนี้ละก็ คนสมัยนั้นที่เป็นหนุ่มและคนแก่ประมาณปี พ.ศ. 2470 เศษๆ ความจริงตาด้วนแกมีอายุก่อนนั้นนะ ทุกคนรู้จักนายด้วนได้ดี แล้วมาคราวหนึ่ง นายด้วนนี่ แกแผลงฤทธิ์พิเศษ คือว่ามีคนหนึ่งชื่อป้าคร้าม ป้าคร้ามนี่ผู้พูดเรียกแกว่ายังงั้นนะ เคารพแกเรียกแกว่าป้าเพราะว่าเป็นรุ่นป้า แกพายเรือไปตอนเช้ามืดไปขายมะพร้าวทุกวันรับมะพร้าวจากชาวสวนแล้วก็ไปขายที่ หน้าวัดช่างเหล็ก หรือหน้าวัดเรไร เพราะว่าบรรดาเรือค้ามารอซื้อที่นั่น เช้ามืดวันหนึ่งเมื่อแกผ่านหน้าวัดเรไร หรือปากคลองบางละมาดจะออกไปวัดเรไร จะออกคลองอีกคลองหนึ่งเขาเรียกว่า คลองชักพระพอผ่านสะพานไปก็ปรากฏว่าเรือแกวิ่งถอยหลัง แกหันหลังมาดูก็พบเจ้าด้วนนั่งอยู่ข้างตลิ่งมันทำมือยาวมากดึงท้ายเรือแก พอเรือมาถึงตลิ่งมันก็ปล่อย แกก็พายเรือออกพายไป พอถึงกลางคลองเจ้าด้วนมันก็ดึงกลับมาอีก แกก็ร้องเอะอะโวยวายบอกเจ้าด้วน เอ็งจะมาแกล้งข้าทำไม เอ็งน่ะดีแต่มาแกล้งข้า ประเดี๋ยวข้าไปขายของไม่ทันละก็ของมันจะเสียนะ ข้าจะขาดทุน เอายังงี้นะ เอ็งอย่ามัวนั่งแกล้งข้าเลย เอ็งช่วยข้าขายนะ เวลาขายของน่ะ ถ้าหากว่าเอ็งช่วยข้าขายหมด แล้วขายได้รวดเร็ว พอไปถึงแล้วประเดี๋ยวเดียวขายได้หมดลำ ได้กำไรดีล่ะก็ ข้าจะซื้อข้าวผัดเอามาให้ เพราะว่าเอ็งชอบข้าวผัดใช่ไหม เจ้าด้วนเขาก็พยักตัว ไม่ใช่พยักหน้า ไม่มีหน้านี่ ไม่มีหัว แล้วก็ปล่อยไป แล้วก็ปรากฏว่ารูปร่างของเจ้าด้วนน่ะหายไปกับตา แกก็พายเรือออกไปจอดอยู่คลองชักพระหน้าวัดช่างเหล็ก ถึงเวลาเช้า ก็พอดีเรือซื้อของเขามา มีเรือขายมะพร้าวหลายสิบลำที่นำมะพร้าวออกไปจากสวน แต่ว่าเรือที่ซื้อมะพร้าวทุกลำน่ะ มีความต้องการเรือลำนี้มาก มาถึงก็ตรงรี่เข้ามาให้ราคาสูง เป็นอันว่าป้าคร้ามก็ขายมะพร้าวได้รวดเร็ว แล้วขายหมดเป็นรายแรกแต่เช้าตรู่ ตามปกติแกต้องขายถึงเวลา 10 น. หรือ 11 น. จึงจะหมด
....แล้วก็ต้องพูดกันมากการค้ามะพร้าววันนั้น ไม่ได้พูดราคากันเลย หมายความว่าเจ้าของมะพร้าวไม่ต้องมีราคาเมื่อเรือต้องการซื้อมาจอดเข้ามันก็ บอกราคาเลยว่าเท่านั้นเท่านี้ ร้อยละเท่านั้นเท่านี้ซึ่งมันเป็นราคาแพงกว่าปกติ ป้าคร้ามก็ยอมขาย เมื่อขายของหมดก็คิดว่านี่คงเป็นอานุภาพของเจ้าด้วน จึงได้แวะซื้อข้าวผัดมา พอถึงหน้าวัดเรไรก็ไปวางไว้ที่ตอไม้ต้นมะม่วง คือตอมะม่วงเขาถูกฟัน ตัดลงมาเหลือตอประมาณ 1 เมตร ก็ไปวางไว้ที่นั่น แล้วเรียกเจ้าด้วนมาว่าด้วนเอ๊ย มากินข้าวผัดนะลูกนะ แล้วพรุ่งนี้ช่วยกันขายใหม่นะ ถ้าเอ็งช่วยข้าขายทุกวันข้าจะเลี้ยงทุกวัน นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาก็ปรากฏว่าป้าคร้ามขายมะพร้าวได้ดี แล้วก็ต้องซื้อข้าวผัดมาให้เจ้าด้วนกินทุกวัน นี่เป็นเรื่องตอนหนึ่งของอานุภาพของเจ้าด้วนนะ
....แล้วก็มีอีกตอนหนึ่ง เพื่อนของผู้พูดนี่เองพายเรือไปหน้าวัดเรไร ผ่านสำนักงานเจ้าด้วน เจ้าด้วนแกก็ดึงเรือกลับ กลางคืนเหมือนกัน รายนั้นเมื่อเห็นเจ้าด้วนดึงเรือกลับมาถึงตลิ่ง เขาก็ปล่อยมือก็ดันเรือออกมาพายออกมาอีก เจ้าด้วนก็ดึงเข้าไปอีก พ่อเจ้าประคุณคนนี้ขี้โมโหเลยเอามีดฟันปั๊บลงไปให้ บอกเอ้าไอ้ด้วนแขนขาดละมึง เท่านั้นแหละ พอพายเรือต่อไปพ่อเจ้าประคุณด้วนก็เดินเลาะตลิ่งไปร้องตะโกนว่า ต่อที ต่อที แกฟันแขนข้าขาด แขนข้ารุ่งริ่งแล้วต่อให้ทีเหอะ ข้าไม่มีแขนข้าจะทำยังไง มันก็เดินตามไป เจ้านั่นอดรำคาญไม่ไหวก็แวะเข้าไปที่ตลิ่ง เอาหญ้ามาผูกติดกันเข้า บอกเอ้าเจ้าด้วน ข้าต่อแขนให้เอ็งแล้ว แขนขาดอีกข้าก็แย่น่ะซี ก็เป็นอันว่าเจ้าด้วนก็ไม่รบกวนละคราวนี้
แต่ว่าเรื่องราวของเจ้าด้วนนี่มีมากนะ
....ท่านผู้ฟัง นำมาเล่าให้ฟังเพียงแค่นี้ก็เพราะว่านี่มันเป็นเรื่องผีอาจารย์ สำหรับผู้พูดน่าจะเรียกว่าอาจารย์ เพราะอาจารย์ด้วนได้สอนให้ผู้พูดรู้จักผีเป็นรายแรกแล้วก็เป็นผีใจดี แทนที่จะเป็นผีดุร้ายน่ากลัว มีลีลาหลอกหลอนให้กลัวด้วยอาการต่างๆ เปล่าไม่มีไม่ว่าใครทั้งหมด มาพบคุณด้วนแล้วต่างคนต่างพากันสรรเสริญว่าผีคุณด้วนนี่เป็นผีที่ดีจริงๆ เป็นอันว่าเรื่องผี ผู้พูดเชื่อตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมานะ แต่ว่าสำหรับท่านผู้ฟังหรือท่านผู้อ่านหนังสือ จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจเถอะ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าใครทั้งหมด ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่สามารถพบได้ด้วยตนเองนี่ก็เป็นการเชื่อยากเหลือเกิน การเชื่อโดยเขาพูดแต่ยังไม่พบ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นอธิโมกขศรัทธา น้อมใจเชื่อ ดีเหมือนกันแต่ว่าดีน้อยไป ตานี้เรื่องผีจะพบจะเห็นได้ก็แสนยากถ้าผีเขาไม่ต้องการให้เห็น บางรายคนรักตายไป จะเป็นพ่อหรือแม่หรือสามีบุตรธิดาก็ตาม อยากจะเห็นอยากจะพบว่า คนตายตายแล้วมีความสุขหรือความทุกข์
....แต่ทว่าถ้าผีมาพบเข้าจริงๆ ก็เกิดความกลัว นี่ก่อนหน้าที่จะมาพูดให้ฟังนี่ก็เหมือนกัน ระยะกาลไม่นาน มีคณะนายทหาร 2 คน เรียกกันว่าคณะนะ สองคนเท่านั้น พร้อมด้วยเพื่อนที่เป็นพลเรือนอีกคน นั่งรถไปทางจังหวัดนครสวรรค์ เพราะว่าจะไปกินเลี้ยงกัน ก็มีรถอีกคันหนึ่งมีคนนั่งมาเห็นจะเจ็ด กี่คนล่ะ รวมกันเป็น 9 คนนี่ 6 คนซี 6 คน รถคันนี้รู้สึกว่าเมาทั้งคัน คือรถเมา เพราะอะไร เพราะว่าคนนั่งมาเมา วิ่งส่ายมาตลอดทาง พอมาถึงรถของคณะนายทหารทั้ง 3 คน คือว่าพลเรือนหนึ่งคน นายทหารสองคน พอดียางแตก รถถลาเข้าชนรถทหาร เป็นอันว่ารถที่นายทหารนั่งไปรวมด้วยกัน 3 คน แล้วฝ่ายพลเรือนคันนั้นอีก 6 คน ตายด้วยกันหมดพร้อมกัน เรียกว่าตายด้วยกันละทั้งหมดไม่มีใครเหลือ เมื่อสามีตาย หรือว่าพ่อตาย บรรดาภรรยาและลูกก็มาหาผู้พูด บอกว่าคิดถึงเขาอยากจะเห็น อยากจะรู้ว่าเขามีความสุขหรือความทุกข์
.... แต่ว่าเวลาที่คิดถึงก็ปรากฏว่าบางครั้งก็ได้กลิ่น คือว่ากลิ่นตัวนะ ไม่ใช่กลิ่นสางของคนที่ตายปรากฏขึ้น แล้วบางครั้งก็ฝันเห็น แล้วแกว่ายังไงทั้งๆ ที่แกอยากเห็นเขา แกบอกว่าเกิดความกลัว มารายงานบอกว่ากรุณาติดต่อกับเขาทีเถอะว่าอย่าให้เห็นอีกเลย ถ้ามาก็มาเงียบๆ อย่าให้พบเลยเพราะกลัว นี่เรื่องของคนน่ะเป็นยังงี้นะท่านผู้ฟัง อยากจะรู้ว่าคนตายไปไหนมีความสุขหรือความทุกข์ เวลาไม่เห็นก็บ่นว่าไม่มาหา แต่พอมาหาให้พบเข้าก็เกิดความกลัว เป็นเรื่องของคนที่สามารถจะพบได้ เพราะผีแสดงให้พบ แต่ว่าเรื่องนี้ผู้พูดไม่กะไม่เกณฑ์ให้ทุกคนเป็นคนเห็นผีรู้ผีได้ นอกจากว่าท่านผู้รับฟังหรือท่านที่ต้องการจะเห็น ถ้าเจริญพระกรรมฐานเข้าถึงอุปจารญาณ แล้วก็ฝึกอุปจารสมาธินั่นให้เป็นทิพยจักขุญาณเท่านี้แหละ ถ้าหากว่าท่านต้องการจะเห็นผีได้เมื่อไร ก็คงจะเห็นได้สมความปรารถนา...
...เอาละสำหรับเรื่องผีเจ้าด้วนก็มีเพียงเท่านี้ จะมีเรื่องอะไรต่อไปก็ต้องขอดูต้นตำรับก่อน ก่อน..."
.
.
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
วัดจันทาราม(ท่าซุง)อุทัยธานี
--------------------------------
เอกสารอ้างอิงจาก...หนังสือเรื่องจริงอิงนิทานเล่ม ๑ หน้า ๑ - ๖ โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง) ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี...ลิขสิทธ์ พล.อ.ท.ม.ร.ว. เสรืมสุขสวัสดิ์..
****************************************************
หลวงพ่อเล่าเรื่องจริงอิงนิทานเล่มที๑ผีเจ้าด้วนโดยลพ.ฤาษีวัดท่าซุง
**************
ติดตาม เครื่องรางเสน่ห์+เมตตาดีดีได้ที่ ร้านมงคลกายสิทธิ์ komsanvpr.lnwshop.com ^_^ และ
เพจ** "เครื่องรางนะเมตตามหาเสน่ห์บรรดาลโชค"นะครับ ตามลิ้งนี้เลย
https://www.facebook.com/pages/เครื่องรางนะเมตตามหาเสน่ห์บรรดาลโชค/316517698505380 · ·^_^ · ·
หน้าที่เข้าชม | 1,376,617 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 1,081,234 ครั้ง |
เปิดร้าน | 3 ธ.ค. 2557 |
ร้านค้าอัพเดท | 28 ก.ค. 2568 |